วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

อีตุ๊ด..

"Etude"..หรือ"อีตุ๊ด"อย่างที่หลายๆคนเอามาเรียกเล่นๆกัน นับว่าเป็นเครื่องสำอางค์ทรงอิทธิพล(ต่อสาวกรุงเทพ)ประจำพ.ศ.นี้ เป็นของฝากยอดฮิตจากเกาหลีใครไปเกาหลีเป็นต้องโดนฝากซื้อเครื่องสำอางค์ยี่ห้อนี้ นอกจาก"อีตุ๊ด"จะทรงอิธิพลต่อเราแล้ว..ในทางกลับกันเรา(ประเทศไทย)ก็ทรงอิทธิพลต่อ"อีตุ๊ด"เช่นกัน ร้านของ"Etude"ในรูปถ่ายจากสาขาหนึ่งในโซลค่ะไม่ใช่กรุงเทพแต่ในภาพจะสังเกตุได้ว่ามีคำต้อนรับเป็นภาษาไทยกำกับอยู่ คนไทยเป็นลูกค้าอันดับต้นๆสูสีกับญี่ปุ่น(มากกว่าแล้วมั้งค่ะ..)ในการไปเกาหลี ถาใครไปเกาหลีตอนนี้อาจเจอคนขายพูดภาษาไทยได้แล้ว..ไม่ต้องตกใจค่ะ อ้อ..เมาท์ต่อในภาพจะเห็นพรีเซนท์เตอร์หน้าตาพิลึก..คงไม่ใช่นางแบบ(แรกๆดิฉันนึกว่าดาราตลก) แต่เมื่อถามได้รับคำตอบคร่าวๆว่า..เธอนางนี้เป็นกะเทยญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงก็เลยได้มาเป็นพรีเซนต์เตอร์ อืม..ม..ดิฉันเจอตัวเธอเป็นๆในร้านด้วยค่ะที่เมียงดงดูพิลึกไม่แพ้ในรูปค่ะ แต่ตอนนี้ดิฉันว่า..คงเรียกร้านนี้ว่า"อีตุ๊ด"ได้เต็มปากแล้วมั้งค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

정지훈 : Jeong Ji-Hoon

ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไปเกาหลีมาในหลายๆหนที่เห็น"พี่เรน"ของน้องๆ อืม..ม..จริงๆน่ะ..ตอนที่ยังดังกว่านี้ไป..กลับไม่เจอรูปอะไรเลย แต่มาปีนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือจะสร้างกระแส"Full House 2"(มีจริงๆน่ะค่ะไม่ได้เมาท์เล่น) ดิฉันเห็น"พี่เรน"เต็มโซลไปหมดเห็นทั้งวันทั้งคืน ขายพิซซ่า..(พิซซ่าฮัทเกาหลีไม่อร่อยอย่างแรงขอเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย..ของหัวใจ)ขายเครื่องสำอางค์(ผู้หญิง?)โดยที่หน้าร้านมี"พี่เรน"กระดาษตัวเท่าจริงยืนยิ้มพิมพ์ใจเป็นนายกวักอยู่หน้าร้านโดยมีคนมายืนแจกโปสเตอร์"พี่เรน"อยู่หน้าร้าน นี่ยังไม่รวมโฆษณานั่นนี่ในทีวีอีก "พี่เรน"คงนับได้ว่าเป็นหนุ่มเกาหลี"ส่งออก"รุ่นแรกๆที่เป็นตัวเปิดตลาดให้หนุ่มเกาหลีกลายเป็นสินค้าส่งออกได้มาถึงปัจจุบันนี้

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

조인성 : Jo In-seong

ไม่มีครั้งไหนไปเกาหลีแล้วไม่เห็นหน้า"Jo In-seong"เป็นนายแบบค่ะ เห็นหน้าทุกครั้งที่ไปคล้ายๆพนักงานต้อนรับเวลาถึงเกาหลี พอเข้าเมืองปั๊ปก็จะเจอหน้า"Jo In-seong"ทุกครั้งที่ไป เป็นงานถ่ายโฆษณาเสื้อผ้าแบรนด์เกาหลีค่ะปีนี้เป็นของแบรนด์"Aden"คราวนี้ปราศจากไม้ตายคือโชว์ยิ้มค่ะ ทุกทีต้องโชว์ยิ้มตลอด..คงเบื่อแล้ว

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง : aden

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

Seoul Fashion Week Fall/Winter 2009-2010

งานนี้คงเป็นงานแฟชั่นวีคหนที่สองนอกประเทศที่ดิฉันได้ดู..สามซิ อืม..ม..ช่างมันจะกี่หนก็เถอะแต่ครั้งนี้ดูเป็นเรื่องเป็นราวที่สุดตั้งแต่เคยไปดูมา มีหลายอย่างที่ดีกว่าเรา..โดยเฉพาะเสื้อผ้าชายแต่ก็มีที่แย่กว่าอย่างเช่นเวที เวทีหรือรันเวย์ส่วนใหญ่ปูด้วยผ้าขาวหรือดำแล้วยิงด้วยแมค..แล้วไม่เรียบร้อย เมืองเรากินขาดเรื่องความเรียบร้อยค่ะ ส่วนเสื้อผ้าผู้หญิงดิฉันว่าส่วนใหญ่เมืองเราก็ดีกว่าค่ะ แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าส่วนใหญ่ดีไซน์เนอร์เกาหลีไม่ว่าใหม่หรือเก่าเสื้อทันสมัยจี๊ดหรือเสื้อป้ายังขอคิดดูก่อน มักมีส่วนผสมของโครงหรือรายละเอียดเสื้อพื้นเมืองอย่างฮันบกผสมอยู่ในหลายๆโชว์แล้วแต่มากน้อย มีตั้งแต่เห็นแดจังกึมลอยมาแต่ไกลจนกระทั้งดูแล้วได้แค่รู้สึก แต่ดิฉันชอบเสื้อแมสของแบรนด์เกาหลีน่ะค่ะอันนี้ดีกว่าแมสเมืองเราแบบไม่เห็นฝุ่นค่ะ

Arena Korea

ซื้อมาไม่ใช่เพราะดิฉันตกหลุมรักพี่"คันแย่"บนหน้าปก แต่ซื้อเพราะข้างในมีเสื้อผ้าผู้ชายหลายแบรนด์ทั้งของอิมพอร์ตและของเกาหลี ด้านในมีแอดเสื้อผ้าแบรนด์เกาหลีหลายแบรนด์ทั้งเก่าและใหม่ หนังสือหัวนอกในเกาหลีต่างจากเมืองไทยคือเนื้อเรื่องและภาพส่วนใหญ่มากกว่า70%-80%เป็นของเกาหลีหรือถ่ายในเกาหลีแทนที่จะมาจากตัวแม่ซ่ะส่วนใหญ่แบบเมืองเรา

Seoul 2/04/2009

เราออกมาจากโรงแรมแต่เช้า(ดิฉันกับช่างภาพที่ชื่อเจนิส) เราชวนกันไปเดินทางไกลออกไปจากย่านที่เราพักไกลแบบว่า..21สถานีรถไฟใต้ดินจากที่พัก ใครที่เคยไปคงรู้ว่า21สถานีที่โซลไกลขนาดไหน ไกลจนดิฉันนึกว่าเรากำลังจะไปเกาหลีเหนือ เราสองสาววัยไกล้เคียงกันเดินขึ้นมาแบบงงๆที่สถานี"Hongik Univ."อืม..ม..ไม่ต้องแปลก็รู้ว่าเป็นสถานีไกล้มหาลัย แต่เราสองคนหนึ่งสาวไทยกับเอ่อ..หนึ่งสาวเกาหลี(ที่ไม่เคยกลับมาเกาหลีเลย!)ไม่เคยมาที่แถวนี้เลย อาการงงและเคว้งคว้างก็เกิดขึ้น เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา..เริ่มหลง..จนไปถึงมุมที่ถ่ายรูปมานี้ เป็นย่านที่สวยและมีมุมที่เงียบสงบมีร้านขายข้าวเล็กๆเต็มไปหมด เราอยู่แถวนี้กันนานจนอาการเริ่มหนาวมาก..ก็กลับโรงแรมค่ะ โซลในการไปของดิฉันครั้งนี้ดูแปลกมากกว่าทุกๆครั้งที่เคยไปมาทั้งคนรอบข้าง..สถานที่..เพื่อนร่วมงาน..หิมะ..ฯลฯ